หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

สรุปข้อความรู้ บทที่ 8 การผลิตสื่อกราฟฟิคเพื่อการเรียนการสอน

กราฟฟิกเพื่อการเรียนการสอน

ความหมายของวัสดุกราฟฟิก
             
         วัสดุกราฟิก หมายถึง  วัสดุใดๆ ซึ่งแสดงความจริง แสดงความคิดอย่างชัดเจน โดยใช้ภาพวาด ภาพเขียนและอักษรข้อความรวมกัน ภาพวาดอาจจะเป็น แผนภาพ (Diagram) ภาพสเก็ต (Sketch) หรือแผนสถิติ (Graph) หรืออาจเป็นคำที่ใช้เป็นหัวเรื่อง (Title) คำอธิบายเพิ่มเติมของแผนภูมิ แผนภาพ แผนสถิติ และภาพโฆษณาอาจวาดเป็นการ์ตูนในรูปแบบหรือประเภทต่างๆ ภาพสเก็ต สัญลักษณ์ และภาพถ่ายสามารถใช้เป็นวัสดุกราฟิกเพื่อสื่อความหมายในเรื่องราวที่แสดงข้อเท็จจริงต่าง ๆได้
        เป็นการนำเสนอสารในการสื่อความหมายเพื่อให้ผู้รับเกิดความเข้าใจและการเรียนรู้ที่ดี โดยอาศัยการผสมผสานของลายเส้น ภาพ และตัวอักษรหรือคำ ที่มีออกแบบตามหลักทางศิลปะและการจัดวางอย่างเป็นระบบ อย่างไรก็ตามในปัจจุบันนี้ความเจริญก้าวทางวิทยาการคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศทาให้คำว่ากราฟิกมีความหมายไปในทางของคอมพิวเตอร์กราฟิกที่อาศัยศักยภาพของโปรแกรมคอมพิวเตอร์ในการสร้าง การจัดการ ข้อมูลในรูปแบบต่างนำเสนอมาในรูปแบบของกราฟ แผนภูมิ หรืออาจนำมาจากสื่อดิจิตอลต่างๆ เช่น กล้องถ่ายภาพ ภาพยนตร์ มาทาการตัดต่อให้เป็นไปตามต้องการหรือตกแต่งภาพให้ดีขึ้นและสามารถพิมพ์ออกมาได้ (สสวท., 2548)
ประเภทของวัสดุกราฟิก

       การจัดแบ่งประเภทของวัสดุกราฟิก นักวิชาการหลายท่านได้แบ่งไว้คล้ายคลึงกัน ซึ่งแบ่งออกเป็น 6 ประเภท ประกอบด้วย แผนภูมิ แผนสถิติ แผนภาพ ภาพโฆษณา และการ์ตูน
              
        1. แผนภูมิ
             เป็นทัศนวัสดุที่ประกอบด้วยรูปภาพ ลายเส้น สัญลักษณ์ ตัวเลข และข้อความ เพื่อแสดงความเกี่ยวข้องของนามธรรม เช่น จำนวน ระยะเวลา ลำดับขั้น ความต่อเนื่อง โดยแสดงความสัมพันธ์เหล่านั้นให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น มีประโยชน์ในการนำมาใช้ในการเรียนการสอนที่ช่วยประกอบการอธิบายของครูให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น ทั้งยังช่วยกระตุ้นให้ผู้เรียนต้องการที่จะค้นคว้าหาความรู้เพิ่มขึ้น และช่วยสร้างปัญหาและกระตุ้นให้ผู้เรียนได้ใช้ความคิด นอกจากนี้ผู้สอนสามารถใช้แผนภูมิในการสรุปหรือทบทวนบทเรียน ในปัจจุบันมีการออกแบบแผนภูมิเพื่อใช้ในการเรียนการสอนในหลายรูปแบบดังนี้
                  
               1.1 แผนภูมิแบบตาราง ใช้แสดงความสัมพันธ์ระหว่างเวลากับเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นในลักษณะตาราง เพื่อให้ดูแล้วเข้าใจได้ง่าย ส่วนมากจะเป็นความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูล เช่น ตารางสอน ตารางเวลาเข้าออกของรถไฟ เป็นต้น

               1.2 แผนภูมิแบบองค์การ และแบบกระบวนการ เป็นแผนภูมิที่เหมาะกับเนื้อหาที่แสดงขั้นตอนหรือลำดับในการปฏิบัติงาน กระบวนการปฏิบัติขององค์กร กระบวนการจัดกิจกรรม กระบวนการผลิต การแบ่งสายงานในองค์การ เป็นต้น

               1.3 แผนภูมิแบบต้นไม้และลำธาร เป็นแผนภูมิที่นำเสนอเรื่องราวที่เป็นภาพรวมหรือความคิดรวบยอด หรือต้นกำเนิดที่สามารถแยกย่อยออกไปหรือแตกสาขาออกไปเหมือนต้นไม้ ส่วนแบบลำธารเป็นการแสดงเนื้อหาที่ให้เห็นส่วนย่อยหลายสาขาที่แยกออกจากต้นกำเนิดเดียวกัน

               1.4 แผนภูมิแบบวิวัฒนาการและแบบต่อเนื่อง เป็นการนำเสนอเรื่องราวในอดีตต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งแสดงได้ทั้งภาพและตัวอักษร โดยเน้นส่วนที่มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมตามลำดับ แผนภูมิแบบต่อเนื่องจะแสดงสาระที่มีความต่อเนื่องกันเป็นทอดๆตามลำดับ แล้ววนไปในลักษณะที่เป็นวัฏจักร

               1.5 แผนภูมิแบบอธิบายภาพ เป็นแผนภูมิที่ใช้สาหรับอธิบายส่วนต่างๆของภาพที่ต้องการโดยเขียนเส้นโยงกับคาอธิบายสั้นๆ

         2. แผนสถิติ
             เป็นแผนภูมิที่เหมาะกับเนื้อหาที่แสดงการเปรียบเทียบระหว่างจำนวน ตัวเลขของสิ่งต่างๆ เช่น จำนวนนักเรียนในแต่ละปีการศึกษา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนในแต่ละระดับชั้น เป็นต้น ซึ่งมีรูปแบบที่ใช้ในการเรียนการสอนดังนี้

                2.1 แผนสถิติแบบเส้น สามารถแสดงข้อมูล ข้อเท็จจริงได้ถูกต้องกว่าแบบอื่นๆเหมาะสำหรับใช้แสดงข้อมูล ที่มีความสัมพันธ์กัน 2 มาตรา โดยเฉพาะระหว่างมาตราจำนวน หรือปริมาณกับเวลาที่เดียวกับปริมาณนั้นๆ โดยที่แกนนอนแสดงเวลา แกนตั้งแสดงจำนวน เมื่อลากเส้นระหว่างจุดเหล่านั้นแล้ว ทำให้รู้ถึงแนวโน้มของข้อมูลใหม่

                2.2 แผนสถิติแบบแท่ง เป็นแผนสถิติที่ทำง่ายและ อ่านเข้าใจง่ายกว่าแบบอื่น เหมาะสำหรับเปรียบเทียบ ข้อมูลหลายชนิด มีลักษณะความยาวของแท่งปริมาณข้อมูล ถ้าข้อมูลน้อย แท่งจะสั้นถ้าข้อมูลมากแท่งจะยาว ความกว้างมีขนาดเท่ากัน แกนตั้งและแกนนอน จะเปรียบเทียบข้อมูล 2 ประเภทที่เกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน

                2.3 แผนสถิติแบบวงกลม เป็นแผนสถิติที่แสดงให้เห็นปริมาณหรือจานวนข้อมูลส่วนรวมทั้งหมด กับส่วนย่อย โดยแบ่งมุมที่จุดศูนย์กลางของวงกลมออกเป็นองศาตามสัดส่วนของจำนวนข้อมูลที่แสดง เช่น การแสดงรายจ่ายของนักศึกษาประจาเดือน เป็นต้น

                2.4 แผนสถิติแบบรูปภาพ เป็นแผนสถิติแบบแท่งอีกประเภทหนึ่ง แต่ใช้รูปภาพแทนแท่งในการแสดงจำนวนหรือปริมาณของ ข้อมูล โดยกำหนดสัดส่วนปริมาณของข้อมูล: รูปภาพ 1 รูป

          3. แผนภาพ
               แผนภาพเป็นภาพลายเส้นหรือทัศนสัญลักษณ์ที่แสดงเค้าโครงของวัตถุ โครงสร้างที่สำคัญของสิ่งที่เราจะอธิบายให้ง่ายขึ้น แผนภาพสื่อความหมายได้ดี การใช้แผนภาพถ้าใช้คู่กับของจริง จะทำให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น เช่น การอธิบายส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์เราใช้แผนภาพโครงร่างของคอมพิวเตอร์ พร้อมกับแสดงของจริงเปรียบเทียบให้ดูด้วย

             ประโยชน์ของแผนภาพ
              3.1 อธิบายเรื่องราวที่ยากแก่การเข้าใจ
              3.2 แสดงให้เห็นความสาคัญของส่วนประกอบต่างๆในเรื่องที่อธิบาย
              3.3 แสดงให้เห็นกระบวนการของสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้เข้าใจง่ายขึ้น

         4. ภาพโฆษณา
              ภาพโฆษณา เป็นการออกแบบซึ่งประกอบด้วย ภาพ ข้อความ หรือเรื่องราว จุดมุ่งหมายของภาพโฆษณา คือเพื่อกระตุ้นให้ ผู้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ตามจุดประสงค์ของภาพโฆษณา นั้นๆ อาจจะเกิดขึ้นช้าหรือเร็วก็ตาม เช่น การรณรงค์การทิ้งขยะมูลฝอย การรักษาความสะอาด หรือการงดสูบบุหรี่ รณรงค์ต่อต้านยาเสพติด และการวางแผนครอบครัว เป็นต้น

              วัตถุประสงค์ในการผลิตภาพโฆษณา
                  4.1 ให้คำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
                  4.2 เชิญชวนให้บุคคลร่วมกิจกรรมที่หน่วยงานจัดขึ้น
                  4.3 เพื่อสร้างความทรงจำให้เกิดขึ้นกับกลุ่มเป้าหมาย
                  4.4 เพื่อเสนอเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหรือสรุปเหตุการณ์ที่ผ่านมา
                  4.5 เพื่อให้ข้อมูลข่าวสาร แก่บุคคลที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงาน
                  4.6 เพื่อรณรงค์ให้บุคคลร่วมมือและสนับสนุนกิจกรรมต่างๆที่หน่วยงานจัดขึ้นซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่เข้าร่วมกิจกรรมและสังคม

               ลักษณะภาพโฆษณา (สุมาลี ชัยเจริญ, 2545)
                  4.1 มีแนวคิดเดียว มีลักษณะที่เข้าใจง่าย สามารถสื่อความหมายได้ทันที ไม่ต้องเสียเวลา ในการพิจารณา ทำความเข้าใจเลย จะเป็นการสูญเปล่า
                  4.2 สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ในการจัดทำ มีการจัดองค์ประกอบ เหมาะสมทั้งขนาด และรูปภาพประกอบตัวอักษร สัญลักษณ์ มีความสอดคล้องกัน คือ รูปภาพ ข้อความสั้น ที่กะทัดรัด ชัดเจน เพื่อช่วยให้เข้าใจได้ง่าย
                  4.3 ดึงดูดความสนใจของผู้ดู มีความแปลกใหม่น่าสนใจ มีการโน้มน้าว เชิญชวนที่พึงกระทำตามเช่น หญิงก็ได้ ชายก็ดี มีแค่สอง

            5. การ์ตูน
                 การ์ตูน เป็นภาพลายเส้น ซึ่งแสดงสัญลักษณ์ของเรื่องราวต่างๆตลอดจน สามารถถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิด จินตนาการของผู้วาดซึ่งเป็นการล้อเลียนแสดงอารมณ์ขัน โดยทั่วไปการ์ตูนอาจทำให้ผิดเพี้ยนไปจากธรรมชาติของความเป็นของสิ่งนั้นๆ มากบ้างน้อยบ้าง เพื่อให้ดูแล้วเกิดความสนใจ และความสนุกสนาน ภาพการ์ตูนส่วนใหญ่จึงเป็นภาพที่เขียนง่ายๆ

               ปัจจุบันการ์ตูนเป็นที่นิยมใช้กันมากในการสื่อความหมาย เพราะการ์ตูนเป็นสื่อที่เหมาะสำหรับถ่ายทอดความคิด ทั้งในด้านการเมือง การศึกษา ศาสนา การประชาสัมพันธ์ เป็นต้น

              การ์ตูนเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อการเรียนการสอนทุกระดับ ทั้งอนุบาล ประถมศึกษา มัธยมศึกษาตลอดจนอุดมศึกษา ซึ่งสามารถนาไปใช้ได้หลายลักษณะดังนี้

              5.1 ใช้นำเข้าสู่บทเรียน เพราะการ์ตูนจะช่วยเร้าความสนใจและดึงดูดให้ผู้เรียน สนใจในกิจกรรมการเรียนนั้น
              5.2 ใช้ในการอธิบายเรื่องราวต่างๆ ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนไม่เกิดความเบื่อหน่าย ในการเรียน และเกิดการเรียนรูได้ดีเพราะมีภาพประกอบ ทำให้สิ่งที่เป็นนามธรรม เป็นรูปธรรมที่น่าสนใจ
              5.3 ใช้สรุปบทเรียน จะช่วยให้ผู้เรียนสามารถจดจำในเนื้อหาบทเรียนได้ดียิ่งขึ้น
              5.4 ใช้การ์ตูนกับการเรียนเป็นรายบุคคล ช่วยเด็กที่มีความสามารถทางการเรียนต่ำ เพราะการ์ตูนจะช่วยกระตุ้นให้ผู้เรียนสนใจและมีความต้องการที่จะศึกษาเพิ่มขึ้น
              5.5 การ์ตูนประกอบการศึกษา เป็นการ์ตูนที่ใช้ประกอบกิจกรรมการเรียนการสอน และการศึกษา เพื่อช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดียิ่งขึ้น

รูปภาพกับการเรียนการสอน

           รูปภาพเป็นทัศนวัสดุซึ่งอาจจะเป็น ภาพวาด ภาพถ่าย ภาพเขียน หรือภาพประกอบตารา รูปภาพมีบทบาทต่อการประกอบการเรียนการสอน ช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจเรื่องราวได้ถูกต้องและรวดเร็วกว่าการใช้คำพูดในการอธิบายเพียงอย่างเดียว รูปภาพที่จะนำมาใช้เป็นสื่อการสอนนั้น อาจหาได้จากแหล่งต่างๆ เช่น หนังสือพิมพ์ ปฏิทิน ภาพโฆษณา นิตยสารต่างๆ โดเลือกภาพที่มีความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์และเนื้อหาที่จะสอน

          คุณค่าของรูปภาพต่อการเรียนการสอน
              1. ช่วยแสดงคำพูดซึ่งเป็นนามธรรมให้เป็นรูปอธรรมมากขึ้น
              2. จำลองสิ่งที่เป็นจริงมาศึกษารายละเอียดได้
              3. นำสิ่งที่อยู่ไกลหรือสิ่งที่ไม่สามารถนามาใช้ในชั้นเรียนมาศึกษาได้
              4. สิ่งเร้าความสนใจและเปลี่ยนเจตคติของผู้ดูได้
              5. เปิดโอกาสให้ผู้เรียนศึกษาในช่วงเวลาที่แต่ละคนต้องการ

          ดังนั้นก่อนที่ผู้สอนจะออกแบบและผลิตสื่อกราฟิกควรมีความเข้าใจถึงหลักการเรียนรู้ด้วยภาพหรือการรู้ด้วยการมองเห็น (Visual literacy) ซึ่งจะมีความสาคัญอย่างยิ่งต่อการรับรูปภาพ และตีความ เพื่อสร้างเป็นความเข้าใจ

ความหมายของ Visual literacy

Visual Literacy : ความสามารถในการเข้าใจและใช้ภาพ รวมทั้งความสามารถในการคิด ในการเรียน และแสดงออกของตัวเองต่อภาพที่มองเห็น

Visual Literacy:เป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับความสามารถทางด้านการมองเห็นของมนุษย์ และใช้ความสามารถนั้นในการจำแนกและแปลความหมายสิ่งที่มองเห็นเพื่อการติดต่อสื่อสารได้อย่างถูกต้องเป็นความสามารถทางด้านจักษุสัมผัสในการ อ่าน และเขียนข้อมูล

               การอ่านภาพ ( Visual Literacy )หมายถึง ความสามารถในการตีความเนื้อหาเรื่องราวจากสิ่งที่มองเห็นได้อย่างถูกต้อง และสามารถสร้างสรรค์เนื้อหาเรื่องราว ออกมาได้ ดังนั้น ความสำคัญของการอ่านภาพนี้นับวันจะมีมากขึ้น เพราะปัจจุบันเราอยู่ในโลกของรูปภาพและสัญลักษณ์อยู่แล้ว

               นอกจากนั้นจากความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีใหม่ๆ ทั้งในด้านการพิมพ์และอื่นๆ ต่างก็ได้มีการเสนอรูปภาพหรือสื่อทัศนะออกมาในรูปแบบต่างๆ มากมาย รวมทั้งในรูปของสื่กราฟฟิกด้วย ทั้งนี้ เพื่ออธิบายเนื้อหาเรื่องราวต่างๆ ที่จัดพิมพ์ออกมา

การออกแบบการออกแบบและผลิตสื่อกราฟิก

          สื่อที่สำคัญในการสอนทักษะการแปลความหมายและการสร้างเรื่องราวคือ ภาพ ทั้งนี้ อาจเป็นภาพถ่าย ภาพวาด ภาพเขียน ตลอดจนภาพกราฟิกอื่น ๆ ภาพที่ได้จากวัสดุสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ บางครั้งอาจไม่ตรงกับวัตถุประสงค์การเรียนการสอน ดังนั้น ผู้สอนควรผลิตขึ้นมาใช้ให้ตรงกับวัตถุประสงค์ และยังไม่สามารถนำไปใช้ในการจัดป้ายนิเทศ นิทรรศการ และวัสดุตั้งแสดงอื่น ๆ ได้ ทั้งนี้ควรมีการทำแบบร่าง (Lay out) ก่อนเสมอ ๆ ภาพที่ควรมีลักษณะที่ควรนำมาใช้ควรมี ลักษณะดังนี้

             1. การจัดองค์ประกอบที่ดี (Good Composition) มีการนำเอาทฤษฎีการจัด องค์ประกอบไปใช้อย่างเหมาะสมไม่ว่าจะเป็นกฎสามส่วน การวางจุดสนใจ การใช้สีแสงเงา เป็นต้น

             2. สื่อความหมายได้ชัดเจน (Clear Communication)มีการเน้นเฉพาะจุดที่ สื่อสาร มีมโนทัศน์เดียว เมื่อดูภาพแล้วเข้าใจไม่คลุมเครือ

             3. มีสีให้เห็นชัดเจน (Effective Color) เป็นสีที่ตรงกับความเป็นจริงและ เป็นสีธรรมชาติ ยึดหลักการและทฤษฎีของสี

             4. มีความคมชัดและมีความตัดกันเป็นอย่างดี (Sharpness and Good Contrast) ภาพที่มีการใช้สี แสง เงาที่ดี มีการเน้นเฉพาะที่ต้องการ และมีความคมชัดตัดกัน เป็นอย่างดีจะเป็นภาพที่น่าสนใจยิ่ง ดังนั้นไม่ว่าครูจะเลือกภาพจากวัตถุสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ ผลิตขึ้น เอง น่าจะต้องคำนึงถึงประเด็นหลัก 2 อย่างคือ
                 4.1 การเลือกภาพ (Select) ใช้หลัก ABC คือ
                        การจัดภาพ (Arrangement)
                        ความสมดุล (Balance)
                        สี (Color)
                 4.2 การเพิ่มความสนใจ (to Maximize) ให้กับภาพใช้หลัก DEFG คือ
                        การเคลื่อนไหว (Dynamics)
                        การเน้น (Emphasis)
                        ตรงกับความจริง (Fidelity)
                        กลมกลืนของลายเส้น (Graphic Harmony

             การจัดภาพ (Arrangement) ภาพและคำอธิบายควรจัดให้สามารถดึงดูดความสนใจ ของผู้ชม ดังนั้นควรยึดองค์ประกอบเบื้องต้นในการจัดภาพอันได้แก่ เส้นนำสายตา ช่องว่าง และวัสดุ อื่น ๆ ตลอดจนรูปทรงทางเรขาคณิตและตัวอักษรที่นำมาใช้ต้องสัมพันธ์กันด้วย

             ความสมดุล (Balance) การเลือกรูปร่างและการวางแบบของภาพต้องให้สมดุล หากเลือกใช้การสมดุลแบบเท่ากันทั้งสองด้าน (Formal) จะทำให้ภาพมีระเบียบแบบแผนและมี ลักษณะนิ่ง (Static) แต่ถ้าใช้การสมดุลแบบไม่เท่ากันทั้งสองด้าน (Informal) จะทำให้ ภาพมีชีวิตชีวาขึ้น (Dynamics)

             สี (Color) สีจะช่วยออกแบบและการจัดภาพได้หลายประการคือ
                  1. ช่วยให้ภาพดูเป็นจริง
                  2. ย้ำในเรื่องคล้ายคลึงความแตกต่างและย้ำความสำคัญ
                  3. สร้างอารมณ์และความรู้สึก

           หน้าที่ของสีในด้านความเหมือนจริง ความคล้ายคลึง ความแตกต่าง และการเน้นย้ำ โดยใช้สีนั้นสามารถมองเห็นได้ชัดเจน แต่การตอบสนองทางอารมณ์ความรู้สึกนั้นต้องอาศัยหลัก ทางจิตวิทยา

          ผลของการวิจัยพบว่าสีทำให้ความรู้สึกต่าง ๆ กัน ดังนี้ สีที่ทำให้รู้สึกเย็น (Cool) มีสีน้ำเงิน สีเขียว สีม่วง สีเหล่านี้ให้ความรู้สึกคล้ายกับว่าอยู่ห่างไกล สีที่ทำให้รู้สึกอุ่น ร้อน (Hot) มีสีส้ม และสีแดง สีเหล่านี้เป็นสีที่ดึงดูดความสนใจ

       ผลการวิจัยนี้สอดคล้องกับวรรณะสี (tones) ซึ่งแบ่งเป็น 2 วรรณะ
                1. วรรณะร้อน (Warm tone) ได้แก่ สีเหลือง ส้มเหลือง ส้ม ส้มแดง แดง และม่วงแดง ให้ความรู้สึกกระฉับกระเฉง ความรื่นเริง ความขัดแย้ง ความตื่นเต้น ความตื่น ตาตื่นใจ ความน่าสนใจและความรุนแรง
                2. วรรณะเย็น (Cool tone) ได้แก่ สีเขียวอ่อน เขียว เขียวน้ำเงิน น้ำ เงิน น้ำเงินม่วงและม่วง ให้ความรู้สึกสงบเงียบ เยือกเย็น สุขสบาย เศร้าสลดหม่นหมอง
ข้อสังเกตเกี่ยวกับวรรณะสีก็คือหากใช้สีเย็นที่มีปริมาณน้อยร่วมกับสีร้อนที่มี ปริมาณมากอาจทำให้เกิดความรู้สึกร้อนแรงได้ ในทางตรงกันข้ามหากใช้สีร้อนที่มีปริมาณน้อย ร่วมกับสีเย็นที่มีปริมาณมากกว่าอาจทำให้เกิดความรู้สึกเยือกเย็นได้เช่นกัน
           สียังสามารถกระตุ้นทางด้าน"รส"(Taste)และ"กลิ่น"(Smell) ได้คือ
                  สีน้ำเงิน มองดูแล้วมีรสหวาน
                  สีส้ม มองดูแล้วเหมือนสิ่งที่รับประทานได้
                  สีชมพู สีน้ำเงินลาเวนเดอร์ สีเหลืองและสีเขียว มองดูแล้วเหมือนมีกลิ่น

           นอกจากนั้น สียังสามารถบอกสถานะต่าง ๆ ได้ เช่น
                  สีแดงเข้ม สีน้ำตาล จะกระตุ้นความแข็งแรงของภาพที่เกี่ยวกับโลกไม้และหนังสัตว์
                  สีทอง สีเงิน และสีดำ จะเกี่ยวข้องทางด้านชื่อเสียงและฐานะความมั่นคง

              จะเห็นได้ว่าสีมีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อจิตใจ อารมณ์ความรู้สึกของคนเรา สียังมีอิทธิพลต่อ การไหลเวียนของโลหิตคือ โลหิตจะไหลเวียนสูงขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อฉายแสงสีน้ำเงิน เขียว เหลือง ส้มและแดงตามลำดับซึ่งสีแดงทำให้การไหลเวียนของโลหิตสูงที่สุด อิทธิพลของสีต่าง ๆ
พอสรุปได้ดังนี้

สีแดง กระตุ้นให้เกิดและระงับความกลัวก่อให้เกิดความตื่นเต้นเร้าใจ สง่าผ่า เผย ปิติอิ่มเอิบ มั่งคั่งสมบูรณ์ เป็นสีแห่งความกล้าหาญโลหิตและอำนาจ
สีเหลือง แสดงถึงความไพบูลย์ ก่อให้เกิดอารมณ์ตื่นเต้น มีพลังวังชา ร่าเริงเบิก บาน มีเหตุผล อิจฉาริษยา ทรยศหักหลัง อ่อนเพลียละเหี่ยใจ เป็นสีแสดงถึงความเป็นหนุ่มสาว
สีน้ำเงิน เป็นสีแห่งความรับผิดชอบ มั่นคง เชื่อถือ สุภาพ สมาธิ ความจริง รู้สึก ผ่อนคลาย สงบเงียบวังเวงเงียบขรึม เอาการเอางาน
สีเขียว เป็นสีแห่งพลังวังชา มีชีวิตชีวาชั่วนิรันดร์ รู้สึกสบาย สงบเงียบ
สีเขียวปนเหลือง เป็นสีแห่งความเป็นหนุ่มสาว การเจริญวัย
สีส้ม กระตุ้นให้เกิดพลังวังชา สนุกสนาน ร่าเริง
สีม่วง เป็นสีแห่งชัยชนะ อำนาจ เกียรติยศ และเป็นสีที่ทำให้เกิดความเศร้าสร้อย สลดหดหู่ ลึกลับ เป็นทุกข์แต่ก็ไม่มากนัก
สีขาว เป็นสีแห่งความบริสุทธิ์ สดใส ใหม่ แสงสว่าง เชื่อมั่น รื่นเริง
สีดำ เป็นสีแห่งความลึกลับ ว่างเปล่าของชีวิต เศร้าโศกรกสิ้นหวัง
สีเทา เป็นสีแห่งการสำนึกผิด ถ่อมตน อ่อนโยน โศกเศร้า แต่น้อยกว่าสีดำ

ประเภทของสีตามทฤษฎีสี มี 4 ทฤษฎี คือ

1. ทฤษฎีสีของนักจิตวิทยา
               นักจิตวิทยาสี ได้พิจารณาสีในแง่อิทธิพลที่มีต่อความรู้สึกมีผลต่ออารมณ์ของมนุษย์ เนื่องจาก คุณสมบัติของสีที่ทำให้สว่างหรือมืดลงได้ สีที่นักจิตวิทยาสีกำหนดไว้มี 4 สีคือ แดง เหลือง น้ำเงินหรือครามและเขียว

2. ทฤษฎีสีของนักฟิสิกส์
               นักฟิสิกส์ได้พิจารณาในแง่ความเข้มข้นและความยาวคลื่นแสง เรียกว่า แม่สีแสงสว่าง (Spectrum color) ซึ่งมี 3สี ได้แก่ สีแดง สีเขียว และสีน้ำเงิน หากนำทั้ง 3 สี ผสมกัน ในปริมาณของความเข้มข้นต่าง ๆ กัน โดยการฉายแสงสีให้ปรากฏบนจอจะได้สีขาว ซึ่งสีขาว ประกอบด้วยคลื่นแสงสีทั้ง 3 สีนั้น วิธีการพิสูจน์โดยนำแท่งแก้วปริซึมตั้งมุมรับแสงแดดให้ถูกมุม ให้สามารถแยกแสงสีขาวนั้นได้ ก็จะเห็นเป็นสีรุ้งประกอบด้วยสีหลักทั้ง 3 สีนั้น และหากนำสีแต่
ละสีมาผสมกันจะเกิดเป็นสีใหม่ขึ้น คือ
                     สีเหลือง คือ สีแดงผสมสีเขียว
                     สีม่วงแดง คือ สีแดงผสมสีน้ำเงิน
                     สีฟ้า คือ สีเขียวผสมสีน้ำเงิน
              อีกประการหนึ่งสีตามทฤษฎีของนักฟิสิกส์ ยังพิจารณาในแง่ความยาวคลื่นด้วย คือสีแดงเป็นสีที่มีความยาวคลื่นมากที่สุด ส่วนสีม่วงแดงเป็นสีที่มีคลื่นที่สั้นที่สุดและยังพิจารณาในแง่ ความเข้มข้นด้วยโดยการกำหนดเป็นอุณหภูมิสีของแสง มีหน่วยวัดเป็นองศาเคลวิน เช่น ถ้ามีอุณหภูมิสูงมากประมาณ 7 พันกว่าองศาเคลวิลจะมีแสงสีน้ำเงิน แต่ถ้ามีอุณหภูมิต่ำกว่าประมาณ 2800 องศาเคลวิลจะมีแสงสีเหลืองอมส้ม เป็นต้น

3. ทฤษฎีสีของนักเคมี
               นักเคมีศึกษาสีในแง่คุณสมบัติทางเคมีว่าสีที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติและสีสังเคราะห์นั้น ประกอบด้วยธาตุอะไรบ้าง เพื่อนำไปใช้เขียนภาพและย้อมสีวัตถุต่าง ๆ สีที่นักเคมีกำหนดไว้ มี3 สีคือ สีแดง สีน้ำเงินและสีเหลือง

4. ทฤษฎีสีของศิลปินหรือช่างเขียน
               ศิลปินหรือช่างเขียนศึกษาสีในแง่การนำไปใช้เขียนและวาดภาพตลอดจนการใช้ใน ชีวิตประจำวันให้เกิดอารมณ์ความรู้สึกต่าง ๆ เป็นต้นว่า นำสีไปตกแต่งทาสีบ้านเรือน เลือกใช้สีในการแต่งกาย ตามทฤษฎีสีของศิลปินหรือช่างเขียนมี 5 สี คือ สีแดง สีเขียว สีน้ำเงิน สีเหลือง
และสีม่วง อย่างไรก็ตามในปัจจุบันนี้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเกี่ยวกับสีได้เจริญก้าวหน้ามาก โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์ที่ผู้ใช้ไม่ต้องคำนึงถึงเรื่องสี ก็สามารถเรียกใช้สีตามความต้องการได้

หลักการเกี่ยวกับการใช้สี (อารี สุทธิพันธ์ 2521 : 108)
         1. คุณสมบัติของสีทุกสีคือสามารถดูดแสงและสะท้อนแสงจากวัตถุ
         2. สีทุกสีมีความอ่อนแก่จากความดำถึงความขาว
         3. สีทุกสีสามารถเปลี่ยนความเข้มได้ตามปริมาณของเนื้อสีที่มาผสมกับระนาบรองรับที่ใช้ระบาย
         4. ความสว่างและความชัดเจนของสีสามารถปรับเปลี่ยนได้โดยการผสมกับสีอื่น
         5. สีอ่อนรับรู้ได้เร็วกว่าสีแก่ และสีอุ่นรับรู้ได้เร็วกว่าสีเย็น
         6. สีทุกสีมีกำลังส่องสว่าง ทำให้เกิดการรับรู้และสามารถเปลี่ยนความเข้มได้

สีกับตัวอักขระ
              การออกแบบภาพและวัสดุกกราฟิกทั้งประเภทฉายและประเภทไม่ฉายย่อมเกี่ยวข้องกับสี ตัวอักษรและคำบรรยาย ดังนั้นผู้สอนจำเป็นต้องมีความรู้และทักษะพื้นฐานเกี่ยวกับตัวอักษรและ สีตลอดจนวิธีประดิษฐ์ตัวอักษร ซึ่งที่ควรคำนึงมีอยู่ 4 ประการคือ

               1. แบบตัวอักษร ควรเป็นแบบที่อ่านง่าย ยกเว้นกรณีที่ต้องการใช้ตัวอักษรในการ สร้างอารมณ์ความรู้สึกของผู้ดู
               2. ขนาดตัวอักษร ต้องมีขนาดโตพอเหมาะโดยพิจารณาจากระยะทางระหว่างผู้ดู กับสื่อ ขนาดตัวอักษรมาตรฐานควรสูง 1/4 นิ้ว ทุก ๆ ระยะห่าง 8 ฟุต ถ้าผู้ดูอยู่ห่างสื่อ 32 ฟุต ตัวอักษรควรสูงไม่น้อยกว่า 1 นิ้ว เป็นต้น
               3. ช่องไฟ การประดิษฐ์ตัวอักษรให้อ่านง่ายดูสวยงามต้องมีการจัดระยะห่างของ ตัวอักษรที่เรียกว่าช่องไฟ
               4. สีของตัวอักษร การเลือกสีของตัวอักษรต้องคำนึงถึงสีของพื้นหลังด้วย

การออกแบบป้ายนิเทศ

                  ป้ายนิเทศ เป็นอุปกรณ์การจัดการแสดงเนื้อหาด้วยภาพ วัสดุ ตัวอักษร เพื่อให้ความรู้ใหม่ๆ ข้อมูลใหม่แก่ผู้ชม และกระตุ้นให้ผู้ชมเกิดความสนใจที่จะศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมต่อไป ป้ายนิเทศต่างกับป้ายประกาศทั่วไป ตรงที่ป้ายประกาศมีแต่ข้อความเรื่องราวเป็นส่วนใหญ่ แต่ป้ายนิเทศโดยทั่วไปประกอบด้วย ภาพ วัสดุหรือสิ่งที่ต้องการแสดงให้เห็นอาจมีข้อความเป็นเพียงหัวเรื่อง และคำบรรยายสั้นๆเท่านั้น มีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงผลงาน สรุปกิจกรรมต่างๆ ของสถาบัน นำเสนอเรื่องราวเพื่อการประชาสัมพันธ์ ตลอดจนการให้ข้อมูลข่าวสารประกอบภาพและคำบรรยาย

          ป้ายนิเทศที่นิยมใช้อยู่ตามสถาบันต่างๆ มีแบบถาวร และแบบเคลื่อนที่ซึ่งอาจเป็นแบบแขวน แบบพับ แบบขาตั้ง หรือขาหยั่ง เป็นต้น

            ประโยชน์ของป้ายนิเทศ
                1. ใช้ประกาศข่าวสาร ให้ข้อมูลเพื่อการประชาสัมพันธ์หน่วยงาน
                2. ใช้เป็นแหล่งเผยแพร่ความรู้ ให้การศึกษาแก่บุคคลทั่วไป
                3. ใช้เป็นที่ฝึกปฏิบัติกิจกรรมการเรียนการสอนของนักเรียน นักศึกษาทุกระดับ
                4. เป็นองค์ประกอบที่สาคัญของการจัดนิทรรศการทุกประเภทและทุกขนาด






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น