หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

สรุปข้อความรู้ บทที่ 9 การเลือกใช้สื่อและวิธีการจัดการเรียนรู้

สรุปข้อความรู้ บทที่ 9 การเลือกใช้สื่อและวิธีการจัดการเรียนรู้

การเตรียมสำหรับจัดประสบการเรียนรู้

         การจัดการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพนั้นผู้สอนควรดำเนินการจัดเตรียมความพร้อมและสิ่งที่จะสนับสนุนการจัดประสบการณ์เรียนรู้ของผู้เรียนให้บรรลุเป้าหมายและเกิดการเรียนรู้ที่ดี ซึ่งผู้สอนจะต้องจัดเตรียมความพร้อมของสื่อและวัสดุ อุปกรณ์ สิ่งแวดล้อมทางการเรียนรู้ ความพร้อมของผู้เรียน และกระบวนการตามบทเรียนที่วางไว้ ดังรายละเอียดต่อไปนี้

การเตรียมสื่อการเรียนรู้

        ผู้สอนจะต้องเตรียมความพร้อมของสื่อให้มีความสอดคล้องกับกระบวนการจัดการเรียนรู้ตามแผนที่ได้ออกแบบไว้ ในขั้นตอนการเตรียมความพร้อมของสื่อจะเริ่มตั้งแต่การคัดเลือกสื่อที่ตอบสนองวิธีการเรียนรู้เพื่อใช้ในการนำเสนอความรู้ การพัฒนาหรือปรับปรุงสื่อเพื่อให้สามารถใช้งานได้ ตลอดจนการออกแบบและพัฒนาสื่อการเรียนรู้ขึ้นมาใหม่ที่มีความสอดคล้องกับการเสาะแสวงหาความรู้และเป้าหมายของรายวิชา ในการใช้สื่อนั้นผู้สอนอาจแบ่งออกเป็น 3 ช่วง คือ ก่อนการจัดการเรียนรู้ ระหว่างการจัดการเรียนรู้และหลังการจัดการเรียนรู้ ดังรายละเอียดต่อไปนี้
        1. ก่อนการจัดการเรียนรู้
            1.1 ผู้สอนและผู้เรียนควรมีการศึกษาวิธีการใช้งานสื่อและวิธีการจัดการเรียนรู้ให้เกิดความชำนาญ
            1.2 ตรวจสอบความพร้อมของสื่อว่าสามารถใช้งานได้จริง
            1.3 เก็บสื่อและวัสดุการเรียนให้ง่ายและสะดวกต่อการใช้งาน
            1.4 กรณีใช้สื่อที่มีเสียงประกอบหรือวีดิทัศน์ ควรทดสอบว่าสามารถแสดงผลได้ตามที่ต้องการหรือไม่
            1.5 ตรวจสอบให้แน่ใจว่าสื่อต่างๆนั้นผู้เรียนสามารถมองเห็นหรือได้ยินอย่างทั่วถึงในชั้นเรียน
        2. ระหว่างการจัดการเรียนรู้
            2.1 มีการเน้นสาระสำคัญ ความคิดยอดที่ต้องการให้ผู้เรียนใส่ใจด้วยการเขียนบนกระดานหรือเน้นลงในสื่อ
        3. หลังการจัดการเรียนรู้
            3.1 ปฏิบัติตามที่กำหนดในบทเรียนด้วยการอภิปราย การทำโครงงานหรือกิจกรรมอื่นๆที่ให้ผู้เรียนได้นำความรู้ไปใช้

การเตรียมสิ่งแวดล้อมทางการเรียนรู้

          ผู้สอนแบบมืออาชีพ จะต้องกำหนดหรือจัดเตรียมสิ่งแวดล้อมทางการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนสามารถสร้างประสบการณ์เรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าการจัดการเรียนรู้นั้นจะเกิดในห้องเรียนก็ต้องเตรียมความพร้อมของห้องเรียนให้น่าเรียน เอื้อต่อการจัดกิจกรรมกลุ่มหรือกิจกรรมการเรียนรู้อื่นๆ บางวิชาอาจต้องใช้ห้องปฏิบัติการดังเช่น วิทยาศาสตร์และภาษา ครูจะต้องเตรียมความพร้อมของห้องปฏิบัติการเหล่านั้นให้สามารถใช้การได้ทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ดังเช่น แสงไฟ เครื่องเสียง ปลั๊กไฟ หรืออุปกรณ์ทดลองเฉพาะ เป็นต้น ให้อุปกรณ์เหล่านั้นมีสภาพที่พร้อมใช้งานได้จริง

การเตรียมผู้เรียน

         ผู้เรียนจะเรียนรู้อะไรได้ดีนั้นขึ้นอยู่กับว่าผู้เรียนนั้นเตรียมตัวและเตรียมความพร้อมในการเรียนอย่างไร ดังนั้นการเตรียมผู้เรียนจึงมีความสำคัญมากเมื่อผู้สอนจะดำเนินการจัดการเรียนรู้ตามที่วางแผนไว้เพราะผู้เรียนจะต้องเป็นผู้ลงมือปฏิบัติกิจกรรมในการเรียนรู้ด้วยตนเอง

          การเตรียมผู้เรียนอาจเริ่มด้วยการให้มโนมิติทางการเรียน (Advance organizer) ล่วงหน้าก่อนเรียน โดยการจัดทาโครงเรื่องเนื้อหาให้ผู้เรียนศึกษาล่วงหน้า การแนะนากิจกรรมการเรียน หรือการให้สารสนเทศที่สำคัญก่อนการจัดการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมทักษะ ความรู้และทัศนคติที่ดีต่อการเรียน โดยมีเป้าหมายที่สำคัญคือการทำให้ผู้เรียนใส่ใจ และสร้างความต้องการที่จะเรียนรู้จากสื่อหรือวิธีการที่ครูจัดไว้ในบทเรียน (Ausubel, 1968)

          ความเข้าใจของผู้เรียนเกี่ยวกับกิจกรรมการเรียนรู้ การสร้างแรงจูงใจ และการปฐมนิเทศก่อนเรียนเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากที่ผู้สอนจะต้องจัดในช่วงแรกของการเรียนการสอนในแต่ละครั้ง เทคนิคที่สำคัญที่ผู้สอนสามารถนำไปใช้ได้ ดังเช่น การเตรียมความพร้อมเพื่อการเรียนรู้ที่ดี(Warmup) ให้กับผู้เรียน ด้วยการนำเสนอให้ผู้เรียนทราบถึงสาระสำคัญของการสอน การจัดกิจกรรมที่กระตุ้นให้ผู้เรียนสามารถสร้างความเกี่ยวข้องกับบทเรียนกับประสบการณ์เดิมและหัวข้อหรือเนื้อหาที่จะเรียนรู้ในอนาคต

การดำเนินการตามบทเรียน

          หลังจากที่ผู้สอนได้เตรียมการทั้งสื่อ สิ่งแวดล้อมทางการเรียน และผู้เรียนเป็นที่เรียบร้อยแล้วเพื่อให้การดำเนินการจัดการเรียนรู้ในชั้นเรียนเป็นไปอย่างราบรื่นบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ ควรดาเนินการตามขั้นตอนดังนี้
       *  การให้กิจกรรมการเรียนรู้ที่ชัดเจน ผู้สอนควรอธิบายภารกิจการเรียนรู้หรือสถานการณ์ให้ผู้เรียนทราบถึงแนวทางปฏิบัติในการเรียน และจะต้องตรวจสอบความเข้าใจของผู้เรียนเกี่ยวกับขั้นตอนในการปฏิบัติกิจกรรม
       * การกำหนดขั้นตอนในการเรียนรู้ ผู้สอนจะต้องวางขั้นตอนของกิจกรรมให้ง่ายและขับเคลื่อนให้ผู้เรียนสามารถดำเนินการเรียนรู้ได้ตามเป้าหมายของกิจกรรม
       *การสร้างแรงจูงใจในการเรียน ในการเรียนผู้เรียนจะต้องใส่ใจกับภารกิจที่ได้รับ ผู้สอนสามารถสนับสนุนให้ผู้เรียนมีความตระหนักและตื่นตัวในการเรียน ด้วยการชี้นาให้ผู้เรียนเห็นถึงมุมมองที่หลากหลายเกี่ยวกับภารกิจทั้งประเด็นและแนวทางแก้ปัญหา การส่งเสริมให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งต่างที่อยู่รอบตัวเพื่อค้นหาแนวทางแก้ปัญหา
       * การตั้งคำถามในระหว่างเรียน การตั้งคำถาม เป็นเทคนิคที่ผู้สอนสามารถใช้ในการกระตุ้นความสนใจเกี่ยวกับการเรียน การส่งเสริมให้ผู้เรียนได้คิด ทั้งยังเป็นการประเมินเพื่อพัฒนาความเข้าใจของผู้เรียนในขณะเรียนได้เป็นอย่างดี

การใช้สื่อประเภทเครื่องมือและวัสดุอุปกรณ์

          ในการจัดการเรียนรู้แต่ละครั้งนั้น ผู้สอนจะใช้สื่อประกอบเพื่อช่วยให้ผู้เรียนสามารถเข้าใจบทเรียน นำเสนอบทเรียน กระตุ้นความสนใจในการเรียน และสามารถให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กับสื่อเพื่อสร้างการเรียนรู้ด้วยตนเอง จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้สอนควรรู้หลักการในการใช้สื่อเพื่อให้การดำเนินการจัดการเรียนการสอนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ การใช้สื่อมัลติมีเดียและโปรแกรมคอมพิวเตอร์ประยุกต์
สื่อประเภทมัลติมีเดียและโปรแกรมคอมพิวเตอร์ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายในชั้นเรียนปัจจุบัน เนื่องจากสามารถกระตุ้นความสนใจของผู้เรียนได้เป็นอย่างดี ฝึกให้ผู้เรียนได้ใช้คอมพิวเตอร์ในการโต้ตอบและมีปฏิสัมพันธ์กับผู้เรียนในขณะเรียนรู้ ทั้งยังสามารถนำเสนอได้ทั้ง ภาพเคลื่อนไหว เสียง และการแสดงภาพจำลองเหตุการณ์เพื่อให้ผู้เรียนสร้างความเข้าใจได้ง่าย แนวทางสำหรับผู้สอนในการสื่อประเภทมัลติมีเดียและโปรแกรมคอมพิวเตอร์ มีดังต่อไปนี้

          * ใช้จอหน้าเสนอที่มีความเหมาะสมสำหรับจำนวนนักเรียนในชั้น จะต้องมั่นใจว่าผู้เรียนทุกคนสามารถมองเห็นภาพผ่านจอคอมพิวเตอร์หรือจอฉายภาพที่เห็นได้ทั่วทั้งชั้น
          * ติดตั้งและทดสอบทุกโปรแกรมคอมพิวเตอร์เกี่ยวกับการนำเสนอเนื้อหาบทเรียน
          * เปิดใช้งานมัลติมีเดียและโปรแกรมคอมพิวเตอร์ผ่านฮาร์ดดิสค์มากกว่าเล่นจากแผ่น เนื่องจากจะมีความไวในการนำเสนอเนื้อหาบทเรียนสูงกว่า
          * กระตุ้นผู้เรียนในมีส่วนร่วมด้วยการใช้คำถาม

การใช้สื่อวีดิทัศน์
          สื่อวีดิทัศน์ สามารถแสดงให้ผู้เรียนได้สัมผัสถึงความเหมือนจริง และบริบทต่างๆของเนื้อหา ทั้งรูปแบบ สีสันที่สร้างแรงจูงใจ ผ่านทางจอโทรทัศน์ที่ผู้เรียนเป็นผู้รับสารที่นำเสนอ ดังนั้นเพื่อให้ผู้เรียนตื่นตัวในการเรียนรู้จากสื่อวีดิทัศน์ผู้สอนจะต้องจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนชมวีดิทัศน์ด้วยกิจกรรมที่ตื่นตัวในชั้นเรียน แนวทางสาหรับผู้สอนในการสื่อวีดิทัศน์ มีดังต่อไปนี้

           * ตรวจสอบความสว่างของแสง ที่นั่ง และควบคุมความดังก่อนเปิดให้ผู้เรียนได้ชม
วีดิทัศน์
            * เตรียมผู้เรียนด้วยการทบทวนความรู้เดิมที่ได้เรียนรู้มาแล้วและถามถึงปัญหาใหม่ที่ให้ผู้เรียนคิดเพื่อหาคำตอบจากการชมวีดิทัศน์
            * หยุดวีดิทัศน์เมื่อถึงประเด็นสำคัญเพื่อให้ผู้เรียนได้ร่วมอภิปราย
            * เน้นหลักการที่สำคัญด้วยการเขียนสาระต่างๆบนกระดานหรือเครื่องฉาย

การใช้สื่อกราฟฟิก

           สื่อกราฟิก ประด้วย รูปภาพ ภาพลายเส้น แผนภูมิ แผนภาพ และสื่ออื่นๆที่ช่วยให้ผู้เรียนมองเห็นเห็นสาระที่ผู้สอนต้องการนำเสนอ ซึ่งสื่อประเภทนี้จะใช้ควบคู่กับเนื้อหาที่มีในตำราประกอบสอน ที่ผู้สอนต้องให้ผู้เรียนมองเห็นภาพได้ง่ายและชัดเจนกว่าการอ่านเพียงอย่างเดียว แนวทางสำหรับผู้สอนในการสื่อกราฟิก มีดังต่อไปนี้

            * ใช้วัสดุที่ง่ายซึ่งผู้เรียนทุกคนสามารถมองเห็น เช่น กระดาษชาร์ต แผ่นกระดาน เป็นต้น
            * ใช้การเขียนหรือคัดข้อความที่สำคัญเพื่อเน้นสาระสำคัญที่ต้องการให้ผู้เรียนมองอย่างใส่ใจ

การใช้สื่อประเภทวิธีการ

           ปัจจุบันแนวคิดเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้เปลี่ยนมามุ่งเน้นให้ผู้เรียนเป็นผู้มีบทบาทในการลงมือกระทำ คิดและสร้างความรู้ขึ้นด้วยตนเอง ดังนั้นผู้สอนจึงควรเลือกใช้สื่อประเภทวิธีการที่สอดคล้องกับแนวคิดการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ดังตัวอย่างรูปแบบการจัดการเรียนรู้ดังต่อไปนี้

การเรียนแบบร่วมมือ

            การเรียนแบบร่วมมือ เป็นกลยุทธ์ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่จัดให้นักเรียนเรียนด้วยกันเป็นกลุ่มเล็กแบบคละความสามารถ ให้ทางานร่วมกัน ช่วยเหลือกันในการผสมผสานความรู้ที่มีอยู่เดิมกับความรู้ใหม่ และค้นพบความหมายของสิ่งที่ศึกษาด้วยกลุ่ม โดยทำกิจกรรมในการสืบค้น (Explore) อภิปราย (Discuss) อธิบาย (Explain) สอบสวนแนวความคิดและแก้ปัญหาร่วมกันในกลุ่ม เพื่อบรรลุจุดมุ่งหมายร่วมกัน เป็นวิธีเรียนวิธีหนึ่งที่กาลังได้รับความสนใจและนาไปประยุกต์ในการเรียนการสอนทุกวิชาและทุกระดับชั้น รูปแบบการเรียนแบบร่วมมือที่เป็นที่ยอมรับกันแพร่หลาย มีดังต่อไปนี้

            1. STAD (Student Teams -Achievement Division) เป็นรูปแบบการเรียนรู้มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาการสัมฤทธิ์พลของการเรียนและทักษะทางสังคมเป็นสำคัญ

            2. TGT (Team Games Tournament) เป็นรูปแบบที่คล้ายกับ STAD แต่เป็นการจูงใจในการเรียนเพิ่มขึ้น โดยการใช้การแข่งขันเกมแทนการทดสอบย่อย

            3. TAI (Team Assisted Individualization) เป็นรูปแบบการเรียนที่ผสมผสานแนวคิด
ระหว่างการร่วมมือในการเรียนรู้กับการสอนเป็นรายบุคคล (Individualized Instruction) รูปแบบ
ของ TAI เป็นการประยุกต์ใช้กับการสอนคณิตศาสตร์

             4. CIRC (Cooperative Integrated Reading and Composition) เป็นรูปแบบการเรียนแบบร่วมมือแบบผสมผสาน ที่มุ่งพัฒนาขึ้นเพื่อสอนการอ่านและการเขียนสำหรับนักเรียนประถมศึกษาตอนปลายโดยเฉพาะ

             5. Jigsaw ผู้ที่คิดค้นการเรียนการสอนแบบ Jigsaw เริ่มแรกคือ Elliot – Aronson และคณะ (1978) หลังจากนั้น สลาวินได้นำแนวคิดดังกล่าวมาปรับขยายเพื่อให้สอดคล้องกับรูปแบบการเรียนแบบร่วมมือมากยิ่งขึ้น เป็นรูปแบบที่เหมาะสมกับวิชาที่เกี่ยวข้องกับการบรรยาย เช่น สังคมศึกษาวรรณคดี วิทยาศาสตร์ในบางเรื่อง รวมทั้งวิชาอื่นๆ ที่เน้นการพัฒนาความรู้ ความเข้าใจมากกว่าพัฒนาทักษะ

             6. Co – op Co – op เป็นรูปแบบที่พัฒนาโดย Shlomo และ Yael Shsran ที่ใช้ในงาน
เฉพาะอย่าง ลักษณะสำคัญคือ สมาชิกแต่ละคนในกลุ่มย่อยจะได้รับมอบหมายให้ศึกษาเนื้อหา หรือ
ทำกิจกรรมที่ต่างกัน ทำเสร็จแล้วนำผลงานมารวมกันเป็นกลุ่มร่วมกันแก้ไขทบทวนแล้วนามาเสนอต่อชั้นเรียน

             7. การเล่าเรื่องรอบวง (Round robin) เป็นเทคนิคการเรียนแบบร่วมมือที่เปิดโอกาสให้สมาชิกทุกคนในกลุ่มได้เล่าประสบการณ์ ความรู้ สิ่งที่ตนกำลังศึกษา สิ่งที่ตนประทับใจให้เพื่อนๆ ในกลุ่มฟัง

             8. มุมสนทนา (Corners) เริ่มต้นจากการให้ผู้เรียนกลุ่มย่อยแต่ละกลุ่มเข้าไปนั่งตามมุมหรือจุดต่าง ๆของห้องเรียน และช่วยกันหาคำตอบสำหรับโจทย์ปัญหาต่างๆ ที่ครูยกขึ้นมา และเปิดโอกาสให้ผู้เรียนอธิบายเรื่องราวที่ตนศึกษาให้เพื่อนกลุ่มอื่นฟัง

             9. คู่ตรวจสอบ (Pairs Check) แบ่งนักเรียนเป็นกลุ่มละ 4 หรือ 6 คน ให้นักเรียนจับคู่กัน
ทำงาน คนหนึ่งทำหน้าที่เสนอแนะวิธีแก้ปัญหา อีกคนทำหน้าที่แก้โจทย์ เสร็จข้อที่ 1 แล้วให้สลับหน้าที่กัน เมื่อเสร็จครบ 2 ข้อ ให้นำคำตอบมาตรวจสอบกับคำตอบของคู่อื่นในกลุ่ม

           10. คู่คิด (Think-Pair Share) ครูตั้งคำถามให้นักเรียนตอบ นักเรียนแต่ละคนจะต้องคิด
คำตอบของตนเอง นำคำตอบมาอภิปรายกับเพื่อนที่นั่งติดกับตน นำคำตอบมาเล่าให้เพื่อนทั้งชั้นฟัง

           11. ร่วมกันคิด (Numbered Heads Together) เริ่มจากครูถามคำถาม เปิดโอกาสให้นักเรียนแต่ละกลุ่มช่วยกันคิดหาคำตอบ จากนั้นครูจึงเรียกให้นักเรียนคนใดคนหนึ่งจากกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหรือทุกๆกลุ่มตอบคำถาม เป็นวิธีการที่นิยมใช้ในการทบทวนหรือตรวจสอบความเข้าใจ

           12. การเรียนแบบร่วมมือกับการสอนคณิตศาสตร์ จอห์นสันและจอห์นสัน (Johmson and Johmson, 1989) กล่าวว่า การเรียนแบบร่วมมือสามารถใช้ได้เป็นอย่างดีในการเรียนคณิตศาสตร์ เพื่อให้นักเรียนคิดทางคณิตศาสตร์เข้าใจการเชื่อมโยงระหว่างมโนมติและกระบวนการ และสามารถที่จะประยุกต์ใช้ความรู้อย่างคล่องแคล่ว

การเรียนรู้แบบโครงงาน

             การเรียนรู้แบบโครงงานเป็นการเรียนรู้ที่เชื่อมโยงหลักการพัฒนาการคิดของบลูม(Bloom) ทั้ง 6 ขั้น กล่าวคือ

       ความรู้ความจำ (Knowledge)
       ความเข้าใจ (Comprehension)
       การนำไปใช้ (Application)
       การวิเคราะห์ (Analysis)
       การสังเคราะห์ (Synthesis)
       การประเมินค่า (Evaluation)

            และยังเป็นการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญในทุกขั้นตอนของกระบวนการเรียนรู้ ตั้งแต่การวางแผนการเรียนรู้ การออกแบบการเรียนรู้ การสร้างสรรค์ประยุกต์ใช้ผลผลิต และการประเมินผลงาน โดยผู้สอนมีบทบาทเป็นผู้จัดการเรียนรู้ รูปแบบการเรียนรู้แบบโครงงานมีดังต่อไปนี้ (สกศ., 2550)

ระยะที่ 1 การเริ่มโครงงาน
           เป็นระยะที่ผู้สอนต้องสังเกต/สร้างความสนใจให้เกิดขึ้นในตัวผู้เรียน โดยอาจศึกษาเรื่องจากการบอกเล่าของผู้ใหญ่หรือผู้รู้ จากประสบการณ์ของผู้เรียน/ผู้สอน จากเอกสารสิ่งพิมพ์หรือสื่อต่างๆ จากการเล่นของผู้เรียน จากความคิดที่เกิดขึ้น จากวัตถุสิ่งของที่ผู้สอนนามาในห้องเรียน หรือจากตัวอย่างโครงงานที่ผู้อื่นทำไว้แล้ว เป็นต้น จากนั้นตกลงร่วมกันในการเลือกเรื่องที่ต้องการศึกษาอย่างละเอียด

ระยะที่ 2 ขั้นพัฒนาโครงงาน
         เป็นขั้นที่ผู้เรียนกาหนดหัวข้อคำถามหรือประเด็นปัญหาที่ผู้เรียนสนใจอยากรู้ แล้วตั้งสมมติฐานเพื่อตอบคำถามเหล่านั้น มีการทดสอบสมมติฐานด้วยการลงมือปฏิบัติจนค้นพบคาตอบด้วยตนเอง ตามขั้นตอน ดังนี้
          1. ผู้เรียนกำหนดปัญหาที่จะศึกษา
          2. ผู้เรียนตั้งสมมติฐานเบื้องต้น
          3. ผู้เรียนตรวจสอบสมมติฐานเบื้องต้น
          4. ผู้เรียนสรุปข้อความรู้จากผลการตรวจสอบสมมติฐาน

           หากการตรวจสอบไม่เป็นไปตามสมมติฐาน ผู้สอนควรให้กำลังผู้เรียนเพื่อให้ผู้เรียนแสวงหาความรู้เพิ่มเติม  หากผลการตรวจสอบเป็นไปตามสมมติฐาน ให้ผู้เรียนสรุปองค์ความรู้จากการค้นพบด้วยการลงมือปฏิบัติของผู้เรียนเอง

           เมื่อได้องค์ความรู้ใหม่แล้ว ผู้เรียนจะนำองค์ความรู้นั้นไปใช้ในการทำกิจกรรมตามความสนใจต่อไป ผู้เรียนอาจใช้ความรู้ที่ค้นพบเป็นพื้นฐานของการกำหนดประเด็นปัญหาขึ้นมาใหม่เพื่อกาหนดเป็นโครงงานย่อยและศึกษารายละเอียดในเรื่องนั้นต่อไปอีก

ระยะที่ 3 ขั้นสรุป
           เป็นระยะสุดท้ายของโครงงานที่ผู้เรียนค้นพบคำตอบของปัญหาแล้ว และได้แสดงให้ผู้สอนเห็นว่าได้สิ้นสุดความสนใจในหัวข้อโครงงานเดิม และเริ่มหันเหความสนใจไปสู่เรื่องใหม่ ระยะนี้เป็นระยะที่ผู้สอนและผู้เรียนจะได้แบ่งปันประสบการณ์การทางานและแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จของการทำงานตลอดโครงงานแก่คนอื่น ๆ มีกิจกรรมที่ผู้เรียนดาเนินการในขั้นตอนนี้ ดังนี้
1. ผู้เรียนเขียนรายงานเป็นรูปแบบงานวิจัยเล็ก ๆ
2. ผู้เรียนนำเสนอผลงาน โดยอาจแสดงเป็นแผงโครงงานให้ผู้ที่สนใจรับรู้สรุปและนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน

การเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน

            สิ่งสำคัญในการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐานคือ ปัญหา เพราะปัญหาที่ดีจะเป็นสิ่งกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดแรงจูงใจใฝ่แสวงหาความรู้ในการเลือกศึกษาปัญหาที่มีประสิทธิภาพ ผู้สอนจะต้องคำนึงถึงพื้นฐานความรู้ความสามารถของผู้เรียน ประสบการณ์ ความสนใจและภูมิหลังของผู้เรียน เพราะคนเรามีแนวโน้มที่จะสนใจเรื่องใกล้ตัวมากกว่าเรื่องไกลตัว สนใจสิ่งที่มีความมายและมีความสำคัญต่อตนเองและเป็นเรื่องที่ตนเองใส่ใจใคร่รู้ ดังนั้น การกำหนดปัญหาจึงต้องคานึงถึงตัวผู้เรียนเป็นหลัก นอกจากนั้น ปัญหาที่ดียังต้องคำนึงสภาพแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกโรงเรียนที่เอื้ออำนวยต่อการแสวงหาความรู้ของผู้เรียนอีกด้วย

             การนำแนวทางการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐานไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนนั้น ผู้สอนควรมีขั้นตอนพิจารณาประเด็นต่างๆ เพื่อประกอบการเลือกใช้แนวทางการจัดการเรียนรู้ในแนวทางนี้ ซึ่งมีประเด็นสาคัญทีควรดาเนินการ ดังนี้ (สกศ., 2550)

               1) พิจารณาหลักสูตรของสถานศึกษา โดยดูจากผลการเรียนรู้ที่คาดหวังให้เหมาะสมกับวิธีการการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน ทั้งทางด้านทักษะและกระบวนการเรียนรู้ จากนั้น จึงเลือกเนื้อหาสาระมากำหนดการสอน เช่น พิจารณาว่า ผู้การเรียนรู้ที่คาดหวังต้องการให้ผู้เรียนเกิดทักษะกระบวนการค้นหาและแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง เป็นต้น

               2) กำหนดแหล่งข้อมูล เมื่อผู้สอนพิจารณาจากผลการเรียนรู้ที่คาดหวังและกำหนดเนื้อหาสาระแล้ว ผู้สอนต้องกำหนดแหล่งข้อมูลต่างๆ ให้เพียงพอเพื่อให้ผู้เรียนนำมาแก้ปัญหาหรือค้นหาคำตอบได้ ซึ่งแหล่งข้อมูลเหล่านี้ ได้แก่ ตัวผู้สอน ห้องสมุด อินเทอร์เน็ต วิดิทัศน์ บุคลากรต่างๆ และแหล่งการเรียนรู้ทั้งในโรงเรียนและนอกโรงเรียน

               3) กำหนดและเขียนขอบข่ายปัญหาที่เป็นตัวกระตุ้นให้ผู้เรียนต้องศึกษา ค้นหาคำตอบ

               4) กำหนดกิจกรรมการจัดกระบวนการเรียนรู้ กิจกรรมการสอนที่ผู้สอนเลือกหรือสร้างขึ้นมาจะต้องทำให้ผู้เรียนสามารถเห็นแนวทางในการค้นพบความรู้หรือคำตอบได้ด้วยตนเอง

               5) สร้างคำถาม เพื่อช่วยให้ผู้เรียนสามารถดำเนินกิจกรรมได้ ควรสร้างคำถามที่มีลักษณะกระตุ้นให้ผู้เรียนสนใจงานที่กำลังทำอยู่และมองเห็นทิศทางในการทำงานต่อไป

               6) กำหนดวิธีการประเมินผล ควรเป็นการประเมินผลตามสภาพจริงโดยประเมินทั้งทางด้านเนื้อหา ทักษะกระบวนการและการทำงานกลุ่ม

การเรียนรู้แบบสร้างองค์ความรู้

             การจัดการเรียนรู้แบบสร้างองค์ความรู้ (Constructivist) จัดเป็นทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพุทธิปัญญา (Cognitive Psychology) ที่เรียกว่าทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ (Constructivism) ที่เชื่อว่า การเรียนรู้เป็นกระบวนการสร้างมากกว่าการรับความรู้

              ดังนั้นเป้าหมายของการจัดการเรียนการสอน จะสนับสนุนการสร้างมากกว่าความพยายามในการถ่ายทอดความรู้ ดังนั้น คอนสตรัคติวิสต์ (Constructivism) จะมุ่งเน้นการสร้างความรู้ใหม่อย่างเหมาะสมของแต่ละบุคคล และสิ่งแวดล้อมมีความสำคัญในการสร้างความหมายตามความเป็นจริง แนวทางในการจัดการเรียนรู้แบบสร้างองค์ความรู้มีรายละเอียดดังนี้

              * การเชื่อมโยงความรู้เดิมกับความรู้ใหม่
              * การกระตุ้นให้เกิดความสงสัยและท้าทายการเรียนรู้
              * การเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เข้าถึงแหล่งเรียนรู้ที่หลาย และส่งเสริมให้ผู้เรียนวิเคราะห์
              * การส่งเสริมการมีปฏิสัมพันธ์เชิงสังคม เปิดโอกาสให้ผู้เรียนระดมสมองเพื่อแก้ปัญหา
              * การส่งเสริมการสร้างความเข้าใจของตนเองและกลุ่มโดยการสะท้อนความคิดและสรุปองค์ความรู้

การเรียนรู้แบบสืบเสาะ

        การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะ มุ่งเน้นกิจกรรมที่หลากหลายเกี่ยวกับ

          การสังเกต
          การถามคำถาม
          การสำรวจตรวจสอบจากเอกสารและแหล่งความรู้อื่น ๆ
          การวางแผนการสำรวจตรวจสอบ
          การทดสอบตรวจสอบหลักฐานเพื่อเป็นการยืนยันความรู้ที่ได้ค้นพบมาแล้ว
          การใช้เครื่องมือในการรวบรวม
          การวิเคราะห์ และการแปลความหมายข้อมูล
          การนำสนอผลงาน
          การอธิบายและการคาดคะเน
          การอภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเกี่ยวกับผลงานที่ได้

           การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะนี้กระตุ้นผู้เรียนให้ตื่นเต้นสงสัยใคร่รู้ให้ ผู้เรียนตั้งใจรวบรวมข้อมูลและหลักฐาน ผู้สอนเตรียมข้อมูลเอกสารความรู้ต่างๆ ที่มีคนศึกษาค้นคว้ามาแล้ว เพื่อให้ผู้เรียนเชื่อมโยงกับความรู้ใหม่ หรือเพื่อให้มองเห็นภาพได้ชัดเจนลึกซึ้งขึ้นให้ผู้เรียนอธิบายให้ชัดเจน ไม่เน้นความจำเนื้อหา และใช้กระบวนการกลุ่มในการแสวงหาคำตอบ

             นักการศึกษาจากกลุ่ม BSCS (Biological Science Curriculum Society) ได้เสนอกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ เพื่อให้ผู้เรียนสร้างองค์ความรู้ใหม่ โดยเชื่อมโยงสิ่งที่เรียนรู้เข้ากับประสบการณ์หรือความรู้เดิม เป็นความรู้หรือแนวคิดของผู้เรียนเอง เรียกรูปแบบการสอนนี้ว่า Inquiry cycle หรือ 5Es มีขั้นตอนดังนี้ (BSCS. 1997)

                1) การสร้างความสนใจ (Engage) ทำให้ผู้เรียนสนใจ ใคร่รู้ในกิจกรรมที่จะนำเข้าสู่บทเรียน ควรจะเชื่อมโยงประสบการณ์การเรียนรู้เดิมกับปัจจุบัน และควรเป็นกิจกรรมที่คาดว่ากำลังจะเกิดขึ้น ซึ่งทำให้ผู้เรียนสนใจจดจ่อที่จะศึกษาความคิดรวบยอด กระบวนการ หรือทักษะ และเริ่มคิดเชื่อมโยงความคิดรวบยอด กระบวนการ หรือทักษะกับประสบการณ์เดิม

                2) การสำรวจและค้นหา (Explore) ทำให้ผู้เรียนมีประสบการณ์ร่วมกันในการสร้างและ พัฒนาความคิดรวบยอด กระบวนการ และทักษะ

                3) การอธิบาย (Explain) ทำให้ผู้เรียนได้พัฒนาความ สามารถในการอธิบายความคิดรวบยอดที่ได้จากการสารวจและค้นหา

                4) การขยายความรู้ (Elaborate) ทำให้ผู้เรียนได้ยืนยันและขยายหรือเพิ่มเติมความรู้ ความเข้าใจในความคิดรวบยอดให้กว้างขวางและลึกซึ้งยิ่งขึ้น

                5) การประเมินผล (Evaluate) ผู้เรียนจะได้รับข้อมูลย้อนกลับเกี่ยวกับการอธิบายความรู้ความ เข้าใจของตนเอง ระหว่างการเรียนการสอนในขั้นนี้ของรูปแบบการสอน









ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น